รีวิว ทริปโตเกียว2014 เฉพาะกิจสำหรับเด็กน้อย .. Part 2: Day1 Tokyo, Day2 Ghibli / Sanrio Puroland

8
3231
views

มาเริ่มออกเดินทางกันเลยค่า

Day 1 (เสาร์ 13 ธันวาคม 57)  :

8.00 น.  ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ Thai Airways International TG676

พวกเราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อน 6 โมงเล็กน้อยค่ะ

6

น้องอณิตื่นเช้า ทานนมมาจากบ้านอย่างเดียวค่ะ หลังจากเช็คอินเราก็มีเวลาไปทานข้าวเช้าด้านในเล็กน้อย พาเด็กน้อยขึ้นเครื่องบิน น้ำ,ขนม,ของเล่น,ระบายสี,สติ๊กเกอร์ อะไรก็เตรียมไปค่ะ ล่อเอาไว้ .. สำหรับน้องอณิ กฏการขึ้นเครื่องบินมี 3 ข้อค่ะ ห้ามพูดเสียงดัง, ห้ามเดินยกเว้นไปเข้าห้องน้ำ, และต้องทำตามที่พี่แอร์บอกห้ามดื้อ ปกติน้องอณิสามารถทำตามได้ดี ครั้งนี้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ

พอขึ้นเครื่องปุ๊บก็ชิลๆ เปิดการ์ตูนเรื่องโปรด Frozen ให้ดู ก็นิ่งสงบดีมาก เครื่องขึ้นไปได้สักพัก น้องอณิก็หลับ พออาหารมาเสริฟก็เลยไม่ได้ทาน (อาหารเด็ก หรือ อาหารพิเศษ พวกมังสวิรัติ เราก็แจ้งไว้ได้ตั้งแต่จองตั๋ว เค้าจะเอามาให้ก่อนคนอื่นเลย) อิพ่ออิแม่ก็จัดการอาหารทั้งของตัวเองทั้งของลูกค่ะ

พอน้องอณิตื่น ก็ต้องนั่งต่ออีกประมาณ 2 ชม. ถึงจะถึง เนื่องจากน้องอณิไม่ได้ทานข้าวบนเครื่องตอนเช้า เตยเลยให้กินนมเข้าไปอีก ที่เล่ามานี่ไม่ใช่อะไรค่ะ ประเด็นคือว่า ตอนเครื่องลดระดับเพื่อจะ landing ค่อนข้างวูบและมึนเล็กน้อย พอเครื่องใกล้จะลง น้องอณิก็อาเจียนออกมาแบบหมดพุงเลยอ่ะค่ะ แบบเยอะมาก ปกติที่เคยขึ้นเครื่องบินมาหลายครั้ง น้องอณิไม่เคยเกิดปัญหานี้เลย เตยเลยพลาดไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ทีนี้ถุงกระดาษที่ปกติเค้ามีไว้หน้าที่นั่ง ป่ะป๊าก็กว่าจะหยิบได้ หยิบได้เสร็จมันต้องฉีกเปิดปากถุงด้วย เปิดผิดเปิดถูกอีก สรุปไม่ทันค่ะ .. เละสุดๆ ><”

เป็นบทเรียนเลยค่ะ เดินทางกับเด็กขอให้เตรียมรับสถานการณ์ทุกอย่าง เตยคาดว่าการที่ทานนมท้องว่างก็มีส่วนทำให้คลื่นไส้ด้วยค่ะ คุณแม่ๆ ต้องระวังกันด้วยนะคะ  ทั้งนี้ต้องขอโทษที่ทำให้พี่ๆ พนักงานต้องเดือดร้อนนะคะ และที่สำคัญคนที่แจ๊กพอตที่สุดคือคนที่นั่งอยู่หลังน้องอณิและเอากระเป๋าไว้ใต้ที่นั่งน้องอณิค่ะ … โดนกระเป๋าไปเรียบร้อยค่ะ .. ต้องขอโทษจริงๆ เลยนะคะ T_T

ปล. ตอนแรกรู้สึกว่าออกเดินทางเช้ากว่าจะถึงก็เย็นเสียเวลาไปวันนึงเลย แต่ตอนนี้รู้สึกว่าดีแล้วค่ะที่เวลาเดินทางแบบนี้ เด็กน้อยไปถึงได้พักก่อนที่จะไปตะลุยเที่ยว แถมเละซะขนาดนี้ ถ้าถึงเช้าต้องเที่ยวเลย คงเสียเวลาเที่ยวไปเยอะเลยค่ะ

16.00น. ถึงสนามบินนาริตะ Terminal 1

หลังจากจัดการกับน้องอณิเรียบร้อย เราก็ออกจากเครื่องบินเป็นคนสุดท้าย T_T เอิ่ม..เริ่มต้นทริปแบบ..จะไหวม๊ายยย เรียกว่าหมดอารมณ์ถ่ายรูปกันเลยทีเดียว จากที่ตั้งใจว่าจะถ่ายรูปมาทำรีวิวละเอียดๆ ก็หมดกัน เอาเป็นว่าลงเครื่องแล้วก็เดินๆ ตามป้าย Arrivals ไปค่ะ ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ไปเอากระเป๋า ออกมาแล้ว ลงบันไดเลื่อนเพื่อไปสถานีรถไฟในสนามบิน ตามป้าย Railways ไปค่ะ .. ถ้าไม่ลงบันไดเลื่อนก็มีลิฟท์ค่ะ เดินเลยไปหน่อย พอลงไปถึงด้านล่าง ก็จะเจอ JR East Travel Service Center ตรงนี้ใครจะซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง N’EX จะแลก JR Pass จะซื้อบัตร Suica ก็ได้เลยค่ะ

7

ของเตย เราซื้อตั๋วรถไฟจากสนามบินเข้าเมืองไปลงที่สถานีชินจูกุ ตั๋วราคาพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1500 เยน ต่อคน ของน้องอณิไม่เสียค่ะ และซื้อบัตร Suica เติมเงินไว้ 2000 เยน คนละใบ ส่วนขากลับเราตัดสินใจจะนั่งรถลีมูซีนบัสมาที่สนามบินค่ะ เลยซื้อตั๋ว N’EX เที่ยวเดียว

8

ซื้อตั๋วเรียบร้อย เราก็เดินไปรอขึ้นรถไฟค่ะ บริเวณที่รอรถไฟ เค้าก็จะมีห้องให้เข้าไปนั่งรอได้ค่ะ .. รอหว่างรอ น้องอณิก็ช่วยมี๊เตยดูทาง

9

สัมภาระของเราก็มีตามนี้ค่ะ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 1 ใบ ยัดทุกอย่างลงไปให้ได้ รถเข็น 1 คัน เป้ติดตัวคนละ 1 ใบ น้องอณิก็ไม่เว้น 55

10

พอถึงสถานีชินจูกุ โรงแรมของเราอยู่ใกล้ทางออก West Exit เพราะฉะนั้น เดินตามป้ายสีเหลืองเขียนว่า West Exit มาเลยค่ะ

จากชานชาลารถไฟ ลงบันไดเลื่อน แล้วเดินตามป้ายค่ะ

11

 พอถึงทางออก คล้ายๆ ทางออกรถไฟฟ้าบ้านเรา ก็เอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่ไป จากนั้นการจะออกไปที่ถนนได้ ต้องขึ้นบันไดเลื่อนไป 1 ชั้นค่ะ ตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย

เพื่อความครบถ้วนเผื่อใครมาเก็บข้อมูลจะได้ชัดเจน รบกวนขออนุญาติยืมรูปจากติวเตอร์ตู่นะคะ ***ตามที่ทางติวเตอร์ตู่อธิบายไว้ “เมื่อออกจาก West Exit จะเห็นร้านขายของทางด้านซ้ายมือ จากนั้นให้มองไปบนป้ายบอกทาง จะเห็นป้ายไฟสีฟ้าๆ ที่ลูกศรสีแดงชี้อยู่”

12

“เห็นป้ายไฟสีฟ้าแล้วให้บอกตัวเองได้เลยว่า ถึงแล้ว จากนั้นให้มองซ้ายมือจะเห็นบันไดเลื่อน”

13

พอขึ้นมาข้างบน ก็จะมีประตูทางออกอยู่ขวามือค่ะ เราจะไป Check in ที่โรงแรม Kadoya Hotel, Shinjuku กันค่ะ  เมื่อออกจากประตู WEST EXIT ให้เดินมาทางซ้าย เลี้ยวซ้ายไปซักพัก จะเห็นป้ายรถ Limousine bus (ขวามือจะเป็นป้ายรถ ซ้ายมือจะเป็นที่ขายตั๋วรถลีมูซีนบัส สามารถจองตั๋วสำหรับขากลับได้เลยค่ะ ใช้เวลาเดินทาง 1.5-2 ชม. ค่ะ กรณีรถติด ยังไงให้เลือกเวลาออกเร็วหน่อยจะดีกว่าค่ะ เตยเลือกขึ้นรถ 13.00 น. ไปถึงสนามบินเกือบ 15.00น. ค่ะ แบบว่ารถติดมาก)

15

แผนที่โรงแรม Kadoya

14

เดินเลยป้ายรถลีมูซีนบัสไปนิดนึง ขวามือจะมีทางข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม พอข้ามถนนแล้ว ด้านหน้าจะเจอร้าน Yodobashi ร้านใหญ่เห็นชัดค่ะเดินตรงมาให้ร้าน Yodobashi อยู่ซ้ายมือ เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเห็น Post office ใหญ่ๆ อยู่ขวามือ เดินตรงไปอีกนิดจะมีสี่แยกไฟแดง เดินข้ามถนนไปค่ะ  เจอ LAWSON อยู่หัวมุมถนน โรงแรมอยู่ติดกับ LAWSON มาทางซ้าย

Screenshot (25)

ช่วงแรก เราจะพักทั้งหมด 4 คืน เลือกเป็นห้อง Double Standard คืนที่ 5 เราจะไปพักที่คาวากูชิโกะ ที่โรงแรม Kadoya สามารถฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ได้ หลังจากนั้นกลับมาพัก คืนที่ 6,7 ห้อง Double Standard  เหมือนเดิม แต่คืนที่ 8,9 ห้องเต็ม เลยต้องเพิ่มเงินเป็นห้อง Double Comfort

ห้อง Double Standard เป็นห้องเตียงคู่ ขนาดห้องค่อนข้างเล็กตามปกติของ Business Hotel ใจกลางเมือง วางกระเป๋าใหญ่เกือบไม่ได้ ต้องดันเตียงไปทางกำแพงหน่อยนึง ห้องนี้ไม่มีตู้เสื้อผ้านะคะ มีที่แขวนให้ 2 อัน ส่วนอุปกรณ์อาบน้ำเป็นของ DHC ค่ะ ..เนื่องจากโรงแรมน่าจะเก่าประมาณนึง ห้อง Double Standard ที่ได้พักก็ออกจะดูเก่าเล็กน้อยถึงปานกลาง ทีนี้พอกำแพงไม่ค่อยใหม่ ความสะอาดโดยรวมของห้องเลยดูน้อยไปหน่อย ให้ซัก 3 เต็ม 5 แล้วกันค่ะ .. แต่ความสะดวกในการเดินทางเลิศค่ะ เดินแค่ 5-7 นาที เดินแบบเร็วปกติ ถึงสถานีรถไฟ JR ค่ะ ..ส่วนพนักงานต้อนรับให้คะแนนเต็มค่ะ ให้ความช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ดีมาก

16

ห้อง Double Standard

 หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าที่โรงแรมกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปหาอะไรทานแถวโรงแรมค่ะ เนื่องจากน้องอณิกินยาก จะชอบกินแค่พวกบะหมี่ อูด้ง ร้านราเม็งเลยเป็นเป้าหมายของเราค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปหน้าร้านไว้อีกตามเคย ><‘

17

เนื่องจากว่าทริปของเราจะออกเช้าเกือบทุุกวัน หรือถ้าออกสายยังไง บ้านเราก็เห็นแก่นอนเป็นสำคัญ ค่าโรงแรมเลยไม่ได้รวมอาหารเช้าของโรงแรมค่ะ ก่อนกลับเข้าโรงแรม เราก็ได้อาศัย Lawson ซื้ออาหารเช้าไว้กินระหว่างเดินทางเกือบทุกวันค่ะ

รวมค่าใช้จ่ายของ Day 1

1. The N’EX TOKYO Direct Ticket (One-way) 1500 เยน x2 = 3000 เยน

2. อาหารเย็นร้านราเมง 450+280+420 = 1150 เยน

3. Lawson – น้ำ อาหาร ขนม = 1155 เยน

4. ค่าซักผ้าที่โรงแรม (ลืมบอกไปที่โรงแรมเค้ามีตู้ซักผ้าหยอดเหรียญไว้บริการด้วยค่า ที่ต้องใช้ตั้งแต่วันแรก เพราะคุณอณิอ๊อกซะเละนั่นล่ะค่ะ โชคดีมีที่ซักเลยไม่ต้องทิ้งเสื้อผ้า) ซักผ้า 300 ผงซักฟอก 40 ปั่นแห้ง 200 = 540 เยน

รวม 5,845 เยน

***********************************************************************************************************************

Day 2 (อาทิตย์ 14 ธันวาคม 57)  : Ghibli Museum / Sanrio Puroland

แผนของเราวันนี้คือ ช่วงเช้าเราจะไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์จิบลิ ส่วนช่วงบ่ายพาสาวน้อยไปเที่ยวเมืองซานริโอ้ Sanrio Puroland ค่ะ

 7.50 น. ออกเดินทางไปที่สถานีรถไฟที่เราออกมาเมื่อวาน  อากาศวันนี้หนาวประมาณ 4-5 องศา ท้องฟ้าแจ่มใสดีค่ะ

18

ข้างหน้าคือทางเข้าสถานีค่ะ

ก่อนที่เราจะไปเที่ยวตามแผนวันนี้ เราจะแวะไป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Odakyu Sightseeing Service Center เปิด 8.00น. – 18.00น.ค่ะ

เพื่อที่จะไปซื้อ Fuji Hakone Pass แบบ 3 วัน เพราะในวันที่ 5-6 เราจะออกจาก Shinjuku -> Hakone -> Kawaguchiko (พัก1คืน) -> Shinjuku

19

เดินเข้าไปด้านในสถานี แล้วมองไปด้านหน้าจนสุดกำแพง เคาน์เตอร์จะอยู่ทางด้านซ้ายๆ ค่ะ  (หรือถ้าขึ้นมาจากสถานีรถไฟโดยบันไดเลื่อนเมื่อวาน ขึ้นมาก็เดินไปทางซ้ายมือ ก็จะเจอค่ะ) ที่นี่เค้ามีเจ้าหน้าที่คนไทยด้วยนะคะ โชคดีที่วันนั้นไปเจ้าหน้าที่คนไทยว่างพอดี เลยไม่ต้อง Speak English ให้เหนื่อย

เตยก็แจ้งแพลนของเราไปค่ะ ว่าเราจะเดินทางไปวันไหน แผนคือ จากชินจูกุ — เดินทางโดยรถไฟ “Romancecar” ของ Odakyu –> ฮาโกเน่ — ลงเรือ/รถไฟ/ขึ้นกระเช้า –>นั่งรถบัส ไป โกเทมบะ (Gotemba) เพื่อจะต่อรถบัสไป คาวากุจิโกะ … ส่วนขากลับนั่งรถบัส Highway bus ของ  Keio กลับมาชินจูกุ

route ของเราตามนี้ ถึงจะไป 2 วัน แต่ Fuji Hakone Pass 3 วัน ราคา 7,400 เยน ต่อคน ก็เหมาะสุดแล้วค่ะ เพราะ pass นี้จะให้เราเลือกว่าไปรถไฟ (ฮาโกเน่) กลับรถบัส(คาวากุจิโกะ) หรือไปรถบัส(คาวากุจิโกะ) กลับรถไฟ (ฮาโกเน่) และก็สามารถใช้pass ในการขึ้นกระเช้า/ลงเรือ/รถไฟ ในฮาโกเน่ได้ และใช้ขึ้นรถบัสจากฮาโกเน่มาถึงที่โกเทมบะได้

สำหรับ Romancecar เราสามารถไปซื้อเพิ่มจาก Pass ได้ที่เคาน์เตอร์ หรือจะจองทางเวปไซต์จากที่ไทยเลยก็ได้ค่ะ เค้าให้จองได้ 1 เดือนล่วงหน้า .. เตยเลือกซื้อผ่านเวปไซต์ล่วงหน้าเลยค่ะ ด้วยความว่าอยากนั่งตู้หน้าสุด พอถึงวันที่จองได้ เตยก็เข้าไปกดซื้อเลยค่ะ การซื้อตั๋ว Romancecar สามารถเข้าไปได้ที่เวปไซต์ตามลิงค์นี้เลยค่ะ http://www.odakyu.jp/english/romancecar/

พอเข้าไปปุ๊บ เราก็เข้าไปดูตารางเดินรถก่อนค่ะ คลิ๊ก Timetable ตรงแถบซ้ายมือ เจอหน้านี้ค่ะ http://www.odakyu.jp/english/romancecar/timetable/a01.html  เราจะไปวันธรรมดาเราก็เลือกดูที่ Weekdays ถ้าไปเสาร์ อาทิตย์ก็เลือกไปที่ Saturdays, Sundays and national holidays

Screenshot (26)

จากตารางด้านซ้ายจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องเครียดค่ะ ย้ายมาดูแถบสุดท้ายด้านขวา เค้าจะเขียนบอกสถานีเป็นภาษาอังกฤษค่ะ เราจะออกจาก Shinjuku ไป Hakone-Yumoto ก็ตามภาพเลยค่ะ เตยเล็งออกเช้าสุดค่ะ 7.00น. เนื่องจากทริปนี้มีเวลาแค่ 2 วันเลยต้องรีบหน่อยค่ะ ส่วนแถบด้านล่างจะเป็น Car Model ค่ะ เจ้าRomancecar ตอนนี้เค้ามีหลายโมเดล แต่ละโมเดลก็มีรูปร่างต่างกันค่ะ E ก็จะเก่าหน่อย ส่วนตัวใหม่ๆ หรูๆ ต้องไป V ค่ะ แต่เราเลือกเวลา เราก็ต้องสละความใหม่ออกไปนะคะ ><‘ เลยได้ไปกับเจ้าโมเดล E ค่ะ

Screenshot (27) หลังจากดูเวลาเรียบร้อย เราก็ไปจองกันได้เลยค่ะ

กลับไปที่หน้าแรกของ Romancecar http://www.odakyu.jp/english/romancecar/ เลื่อนไปข้างล่างก็จะเจอที่ให้เราทำ Online Purchasing  เราก็ใส่จากไหนไปไหน วัน เวลา ที่เราจะเดินทางไป จำนวนกี่คน ของเตย ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1

Screenshot (29)

คลิ๊ก Browse vacant seats  ก็จะขึ้นหน้าให้เราเลือกค่ะว่าจะเอาเวลาไหน

Screenshot (30) เราจะไป 7.00 น. ก็เลือกอันแรกคลิ๊กตรงภาษาญี่ปุ่นบรรทัดแรกเลยค่ะ ก็จะเข้าไปที่รายละเอียดของรอบรถไฟนั้น

Screenshot (31)

เค้าจะมีให้เราเลือกว่าจะนั่งที่นั่งตรงไหน ตามรูปด้านบน (จะมี Standard Seat / front panorama / rear panorama) อะไรหน้าๆ เราก็เลือกไว้ก่อน เลือก front panorama ไปค่ะ ถัดไปเค้าก็ให้เลือกขบวนว่าจะนั่งขบวนไหน เราก็เลือก Carriage no.1 ไว้ก่อนเลย อีกสองอันที่เค้าให้คลิ๊กมันเลือกข้อบนทั้ง 2 อันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรค่ะ เรียบร้อยเลื่อนมาด้านล่างเค้าก็มี Term&Conditions ให้เราคลิ๊ก ตกลง

Screenshot (32)ติ๊กตรงแดงๆ และกดปุ่มต่อไปเลยค่ะ ก็จะมาหน้านี้ ให้เราเลือกที่นั่ง

Screenshot (33) ที่กากบาทคือเลือกไม่ได้ ก็ติ๊กที่นั่งที่เลือกได้ไป อย่างด้านบนก็ได้แถว 2C 2D 3D

Screenshot (34)  หน้าสุดท้าย มีสรุปที่เราเลือก และราคา ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 2 เด็ก1 รวม 2,230 เยน เราก็ใส่รายละเอียดเราไป รวมถึงบัตรเครดิตด้วยค่ะ จะตัดบัตรเครดิตเราในการซื้อค่ะ พอใส่เรียบร้อยเค้าก็จะมีหน้าสรุปมาให้เรา เราก็เซฟรูปไว้ และปริ๊นหน้าสรุปเอาติดตัวไปด้วยเลยค่ะ เพื่อที่จะเอาไปแนบการการใช้ Fuji Hakone Pass

กลับมาที่ตอนซื้อ Fuji Hakone Pass ใหม่นะคะ ตอนนี้เรามี Romancecar สำหรับ 3 ที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราซื้อ Fuji Hakone Pass สำหรับ 2 คน น้องอณิไม่ต้องซื้อ  แต่ๆๆๆ เรามี Romancecar ของน้องอณิด้วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่เลยต้องให้เตยซื้อ ตั๋วรถไฟจาก Shinjuku ไป Hakone-Yumoto และ ตั๋วรถบัสจากคาวากุจิโกะ กลับมาชินจูกุ ให้น้องอณิด้วย

ราคาค่าเดินทางที่จ่ายกับทาง Odakyu เลยออกมาตามนี้ค่ะ ค่า Fuji Hakone Pass +ค่ารถไฟอณิ +ค่ารถบัสอณิ =7400+7400+880+660 =16,340 เยน ค่ะ บวกค่า Romancecar ที่จ่ายไปแล้ว 2230 เยน รวมเป็น 18,570 เยน

สำหรับรถบัสขากลับจากคาวากุจิโกะ มายังชินจูกุ ปกติตอนที่ไปซื้อ Fuji Hakone Pass เจ้าหน้าที่เค้าจะดูให้เราว่าจะกลับเวลากี่โมง น่าจะจองที่นั่งให้เราตอนเราไปซื้อ pass นี่ล่ะค่ะ แต่ด้วยความว่าเตรียมตัวล่วงหน้ามาดีเกิน เตยเห็นเค้าว่ารถบัสเราจองที่นั่งได้ก่อนล่วงหน้า 1 เดือน เหมือนกัน เตยก็เลยเข้าไปดูที่เวปไซต์ http://highway-buses.jp/ เพื่อดูตารางรถบัสขากลับ และก็จองที่นั่งไปเลย (อันนี้ยังไม่ต้องจ่ายเงินแค่จองเฉยๆ

พอแจ้งเจ้าหน้าที่ไป เค้าก็เลยต้องโทรไปคอนเฟิร์มกับทาง Highway bus ว่าที่เราจองมา คือคนเดียวกับที่จะใช้ Fuji Hakone pass เราจะได้ใช้ pass แสดงได้เลย

ถ้าจะจอง ก็ตามนี้เลยค่ะ เข้าไปที่หน้าเวป แล้วเลื่อนลงไปด้านล่างนิดนึง  คลิ๊ก Reservation

Screenshot (35)

ก็จะมาเจอหน้านี้ ให้เลือกว่าจะไปที่ไหน เราก็เลือกอันล่าง To Tokyo เลือก Timetable/Reservation  ตรงบรรทัด Kawaguchiko Station ที่เตยวงสีแดงไว้ค่ะ

Screenshot (36)  เลือกวันที่จะกลับจากคาวากุจิโกะค่ะ

Screenshot (37)

 เลือกเวลาที่จะกลับ เตยแพลนว่าจะเที่ยวนานหน่อย และจะทานข้าวเย็นที่นี่ก่อนกลับเลย เลยเลือกเป็น 19.10น.ค่ะ

Screenshot (38)

จากนั้นกด Next และใส่รายละเอียดหน้าสุดท้ายค่ะ

Screenshot (39) เลือกเป็น One-way reservation ค่ะ  เรียบร้อยเค้าก็จะมีหน้าสรุปมาให้ เราก็ปริ๊นมาเก็บไว้ค่ะ

เขียนมาซะยาว นี่เรายังอยู่ที่เคาน์เตอร์เซอรวิสของ Odakyu อยู่เลย 55 .. หลังจากชำระเงินเรียบร้อย เราก็จะได้ตั๋ว pass หน้าตาแบบนี้มาค่ะ

20

จบเรื่องการซื้อ Pass  ทีนี้เราก็ออกเดินทางไปเที่ยวตามแผนของวันนี้ค่ะ ช่วงเช้า Ghibli Museum (เปิด 10:00~18:00)

Ghibli Museum นี่ เค้าเป็นพิพิธภัณฑ์ของนักสร้างการ์ตูนของญี่ปุ่นมากมายหลายเรื่อง เรื่องที่คนไทยพอจะรู้จักกันก็คือ เรื่อง My Neighbor Totoro เพื่อความอินของลูกสาว ก่อนไปก็พยายามให้น้องอณิรู้จักเจ้าตัวการ์ตูนนี้ซักหน่อย เลยให้ดูดีวิดีเรื่องMy Neighbor Totoro ซึ่งน้องอณิก็ดูจะสนุกอยู่ เราก็เลยตัดสินใจพาไปเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์จิบลิ เวปไซต์ของที่นี่ ตามนี้ค่ะ http://www.ghibli-museum.jp/en/

ทีนี้การจะไปที่นี่ได้ก็ไม่ได้อยู่ๆ ไปเลยได้ง่ายๆ นะคะ เค้าจะต้องให้เราซื้อตั๋วล่วงหน้า ระบุวัน และเวลาที่จะเข้าชม สำหรับประเทศไทย เราไม่สามารถซื้อออนไลน์ได้ค่ะ เลยต้องหาทางซื้อจากทางอื่น เช่นฝากเพื่อนที่อยู่ที่ญี่ปุ่นซื้อ หรือจะไปซื้อเองที่นู่นก็ได้นะคะ แต่เตยไม่แน่ใจว่าวันและเวลาที่เราต้องการจะมีมั้ย เตยจองรอบ 10.00น. ซึ่งเป็นรอบแรกของวันค่ะ

เนื่องจากเตยเกรงใจเพื่อนที่พอมีอยู่ที่ญี่ปุ่นบ้าง เพราะต้องรบกวนให้เค้าไปซื้อ แล้วก็ยังต้องส่งมาให้เตยอีก เตยเลยเลือกฝากคนที่เค้าเปิดร้านรับพรีออร์เดอร์ของจากญี่ปุ่น ซึ่งเตยเคยสั่งของจากเค้ามาบ้าง เลยไว้ใจได้ ตั๋วจิบลิสามารถไปซื้อได้ที่ Lawson  ในเวปจะมีอธิบายวิธีซื้อค่ะ http://www.lawson.co.jp/ghibli/museum/ticket/english.html   โดยสามารถซื้อได้ล่วงหน้า 1 เดือน เช่นเราจะไปช่วงเดือนธันวา เราก็ไปซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนค่ะ  ค่าเข้าจิบลิ เตยจ่ายรวมค่าไปซื้อค่าส่งมาให้เตยที่ไทย สำหรับผู้ใหญ่ 2 ใบ รวม 1000 บาท ค่ะ แพงกว่าไปซื้อเองที่นู่น แต่เอาสะดวก และสบายใจว่าได้ไปแน่ๆ ค่ะ

เส้นทางไป Ghibli เราต้องขึ้น รถไฟสายสีส้ม JR Chuo Line rapid ไปลงที่สถานี Mitaka 

Screenshot (40)

เตยจะ search ตารางเวลารถไฟตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทยนะคะ เพื่อช่วยในการวางแผนการเดินทาง แล้วพอวันพรุ่งนี้จะไปก็เปิดเพื่อ recheck อีกที เราก็ search จาก hyperdia ของญี่ปุ่นได้เลยค่ะ  http://www.hyperdia.com/en/  ปกติเตยจะเซฟมาซัก 2-3 เวลาที่รถออกค่ะ เผื่อพลาดเวลาแรก จะได้รู้รอบถัดไปเลย ประมาณนี้ค่ะ เค้าจะบอกหมดไปไหนต่อที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แต่เตยใช้บัตร Suica ก็แตะๆเข้าไปค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อตั๋ว

Screenshot (41)

เมื่อนั่งรถไฟมาถึงสถานีมิตากะ ก็ออกทาง South Exit

2122

ออกมาแล้วก็ไปทางซ้ายค่ะ เดินตามทางลาดลงไปด้านล่างเลยค่ะ

23

มองไปไกลๆจะเห็นป้ายรถบัสอยู่ค่ะ แล้วก็จะมีตู้ขายตั๋วรถบัสอยู่ เราต้องซื้อตั๋วตรงนี้ค่ะ ตู้สีน้ำตาลขวาที่คนต่อคิวอยู่นี่ล่ะค่ะ รถบัสไปจิบลิก็จะเป็นรถสีเหลืองมีลวดลายการ์ตูนที่เห็นตามรูปเลยค่ะ

24

เราซื้อตั๋วแบบไปกลับ เฉพาะผู้ใหญ่ 2 ใบ ราคาใบละ 320 เยนค่ะ ขาไปเราฉีกส่วน For Ghibli Museum ให้คนขับ ส่วน For Mitaka Sta เก็บไว้ขากลับค่ะ

26

แค่ป้ายรถก็ได้อารมณ์การ์ตูนของจิบลิละค่ะ

25

รอรถไม่นาน รถก็มาค่ะ เก็บภาพระหว่างนั่งรถกันซักหน่อย

27

นั่งรถไปซักพักน่าจะซัก  10 นาที เราก็มาถึง Ghibli Museum ค่ะ พอลงจากรถ ก็เดินไปทางซ้ายค่ะ จะเห็นประตูทางเข้า มีนาฬิกาสีแดงโดดเด่นอยู่ด้านหน้าเลยค่ะ เตยมาถึงประมาณ 9.50 น.ก็มีคนต่อคิวอยู่แล้วเยอะพอสมควร

28

ที่นี่เค้าไม่ให้ถ่ายภาพด้านในอาคารเลย ระหว่างต่อคิว เราก็เริ่มเก็บภาพด้านนอกกันไปค่ะ

29

พอเข้าไปด้านในก็ไม่ได้ถ่ายภาพล่ะค่ะ ด้านในก็จะมีส่วนแสดงเป็นห้องๆ  และก็มีชมภาพยนต์การ์ตูนของที่นี่ 1 เรื่องสั้นๆ ประมาณ 15 นาที แล้วแต่ว่าวันที่ไปเค้าจะฉายเรื่องไหน สำหรับน้องอณิที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นเจ้ารถแมวที่อยู่ในเรื่อง Totoro เค้าทำเป็นรถแมวใหญ่ๆ ให้เด็กต่อคิวเข้าไปปีนป่ายได้ แล้วก็มีเจ้าภูติน้อยสีดำ ให้เล่นกันด้วย ใครนึกเรื่องนี้ไม่ออก เตยแอบขอยืมรูปการ์ตูนจากในเวปนะคะ

page

หลังจากได้เล่นรถแมวไปแล้ว ก็เดินขึ้นไปดูด้านบนดาดฟ้าค่ะ เค้าก็จะมีตัวไฮไลท์เป็นตัวหุ่นยนต์ มีคนต่อคิวถ่ายรูปด้วยเยอะพอสมควร แต่เตยแอบไม่รู้ว่ามาจากเรื่องอะไร ไม่ได้อินมาก เลยเก็บภาพบรรยากาศมาค่ะ อันไหนเค้าถ่ายกัน ก็ไปถ่ายมั่ง 5531

30

เดินดูอยู่ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ทั่วละค่ะ ที่นี่ก็จะมี shop ขายของที่ระลึก น้องอณิก็สอยตุ๊กตามา 2 ตัวค่ะ แล้วก็ทานข้าวกลางวันค่ะ

ที่นี่เค้ามีร้านอาหารให้เข้าไปนั่งทานค่ะ แต่ต้องต่อคิวเยอะพอสมควร มื้อนี้เราเลยทานฮอทดอกที่ขายอยู่ข้างๆร้านอาหารค่ะ ส่วนน้องอณิ ถึงจะอากาศหนาวยังไง เจอไอศกรีมไปก็ไม่พลาดค่ะ

32

พอจัดการอาหารเสร็จ เราเดินไปด้านล่างเพื่อจะไปที่ทางออก ก็เจอกับสวนหิน มีที่ตักน้ำเหมือนในการ์ตูน น้องอณิเลยต้องจัดซักหน่อย

33

เจ้าภูติตัวน้อย แอคชั่นคุณอณิชนะเลิศ

34

แล้วก็ได้เวลากลับค่ะ เราออกไปรอรถบัสเพื่อกลับไปที่สถานี Mitaka ค่ะ  ออกจาก Ghibli เที่ยงครึ่งพอดี ใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2.5 ชม.

35

พอถึงสถานี Mitaka เราก็ออกเดินทางเพื่อจะไป Sanrio Puroland ค่ะ ความจริงถ้าดูจากแผนที่และดูจาก Hyperdia  จาก Mitaka สามารถเดินทางไปที่ Sanrio ได้โดยไม่ต้องไปตั้งต้นที่ชินจูกุ แต่มันดูยากพอสมควร ต้องเดินต้องต่อรถบัส ดูแล้วงง และทางเวปของ Sanrio Puroland http://en.puroland.jp/ เค้าก็แนะนำเส้นทางไว้ตามนี้

Screenshot (46)

เตยเลยเลือกเส้นที่มาตั้งต้นที่ชินจูกุใหม่ search Hyperdia ได้มาตามนี้ค่ะ

Screenshot (44)

จาก Mitaka ไป Shinjuku (JR) ไม่มีปัญหาค่ะ แต่จากชินจูกุจะเปลี่ยนไปสาย Keio line เพื่อจะไปลงสถานี KEIO-TAMA-CENTER เนี่ย ถ้าเราจะต่อรถไฟเลย มันมีเวลา 7 นาที ที่ต้องไปให้ทัน ซึ่งพอถึงสถานีชินจูกุแล้ว เราต้องแตะบัตรออกจากสถานีมาก่อน และหาทางเปลี่ยนไปสาย Keio ค่ะ ตรงนี้เตยไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยเพราะรีบหาทางไปให้ทัน แต่ด้วยความที่ว่าเดินไกลพอสมควร และต้องคอยหาว่าเดินไปทางไหนด้วย เลยไม่ทันจนได้ ><‘ แต่ก็ไปถึงจนได้ค่ะ เราเลยต้องรอรถรอบถัดไป

และจาก Hyperdia เราต้องไปเปลี่ยนรถที่ Chofu มีเวลา 2 นาที อันนี้ทันค่ะ เพราะแค่ขึ้นที่ชานชาลาฝั่งตรงข้าม แล้วก็ไปลงที่สถานี Tama-Center ค่ะ แผนที่ของสาย Keio ตามนี้ค่ะ

Screenshot (45)

พอไปถึง เราเดินออกไปตามทางเลยค่ะ มีป้ายมีธง Sanrio บอกทางชัดเจนตลอดทาง

36

37

38

สำหรับบัตรเข้า Sanrio Puroland เตยซื้อไว้ตอนที่มีงานญี่ปุ่นที่เซนทรัลลาดพร้าวค่ะ ซื้อกับ H.I.S. ผู้ใหญ่คนละ 1120 บาท/ เด็ก 3ขวบ+ 800 บาท ที่งานมีบู๊ทของ Sanrio มาโปรโมตด้วยค่ะ พอดีเดินไปเจอเลยคุยเรื่องบัตรแป๊บนึง แล้วเค้าก็เลยเช็ควันเปิด-ปิด ให้ค่ะ แต่ไม่มีขายบัตร ต้องไปซื้อกับ H.I.S ค่ะ แต่ถ้าดูจากราคาหน้าเวปของทาง Sanrio ก็ไม่ต่างกันมากค่ะ แต่เตยเป็นแบบถ้าซื้ออะไรไว้ก่อนได้ก็ซื้อเตรียมไว้เลยค่ะ

40

พอเข้าไปด้านในเค้าจะมีที่ฝากรถเข็นค่ะ ก็จัดการเอารถเข็นไปเก็บให้เรียบร้อย ด้านในของซานริโอ้ ผังประมาณนี้ค่ะ

Screenshot (47)

ชื่อตัวการ์ตูนต่างๆ ของซานริโอ้ เก็บไว้ดูเพิ่มความอินค่ะ

Screenshot (48)

เข้าด้านในกันเลย

41

ที่ Hall ก็จะมีการแสดงของเหล่าการ์ตูนซานริโอ้

39

ส่วนของ Boat ride คนต่อแถวเยอะค่ะ รอจนง่วง

42

43

ใกล้ถึงละค่ะ

44

ในที่สุดก็ได้นั่งซักที

45

ไปบุกบ้านคุณคิตตี้ ตอนก่อนจะออกจากบ้าน เราจะได้ไปเจอกับ Hello Kitty ตัวจริงเสียงจริง จุดนี้เค้าจะมีขายดอกกุหลาบเพื่อเอาไปให้กับคิตตี้ จัดให้น้องอณิ 1 ดอก พอเอาไปให้ คิตตี้ก็จะเอาของที่ระลึกให้เราค่ะ และก็ได้ถ่ายรูปกับคิตตี้ ซึ่งถ้าเราจะเอารูปก็ไปเลือกซื้อด้านนอกค่ะ

46

ต่อแถวรอนั่งรถ My Melody

47

ที่นี่น้องอณิสนุกตามประสาสาวๆ .. พร้อมกับได้ตุ๊กตาติดมือมาอีก 2 ตัว ><” พอช่วงเย็น ก็ทานข้าวเย็นกันที่ Food court ของที่นี่เลยค่ะ อาหารก็จะทำเป็นรูปการ์ตูนตามธีมของซานริโอ้น่ารักค่ะ .. แต่เหมือนเดิม ไม่ได้ถ่ายรูปมา .. เฮ้อ ลืมตลอด (จิกกัดคุณสามีเบาๆ ณ จุดนี้)

จากนั้นเราก็เดินกลับไปขึ้นรถไฟ แต่ทีนี้ง่ายหน่อย นั่งตรงไปชินจูกุเลยค่ะ

Screenshot (49)

รวมค่าใช้จ่ายของ Day 2

1. ซื้อตั๋ว Fuji Hakone pass 7400 + 7400+ 880+ 660 +romancecar = 16,340 +2,230 = 18,570 เยน

2. ค่าตั๋วจิบลิ 1000 บาท

3. ค่ารถไฟไปจิบลิ 220+220 = 440 เยน

4. ตั๋วรถบัสไปกลับจิบลิ 320+320 = 640 เยน

6. อาหารกลางวัน ฮอทดอก ไอศกรีม ที่จิบลิ 2,360 เยน

7. รถไฟไปกลับซานริโอ้ พูโรแลนด์  1,800 เยน

8. ค่าบัตรเข้าซานริโอ้ 3 ใบ 3,040 บาท

10.Lawson ก่อนเข้าโรงแรม 3,918 เยน

รวม 27,728 เยน + 4,040 บาท

8 COMMENTS

  1. สอบถามค่ะ ถ้าลอกแพลนคุณเตยไปนี่จำเป็นต้องซื้อ jr pass ล่วงหน้าปะคะ

    • เตยว่าถ้าไม่ได้ข้ามเมือง แบบโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า ก็ไม่ต้องซื้อก็ได้อ่ะค่ะ ตอนไปเตยไม่ได้ซื้อJrค่ะ

  2. ขอสอบถามค่ะ รบกวนแนะนำร้านที่รับพรีออร์เดอร์เพื่อซื้อตั๋วเข้าจิบลิมิวเซียมได้มั้ยคะ ขอบคุณค่า

  3. รบกวนคุณเตยด้วยค่ะ ตอนพาน้องขึ้น Nex ต้องเอารถเข็นน้องไว้ที่ไหนคะ คือจะพาหลานอายุ 2ขวบกว่าไป อยากจะเข้าเมืองด้วย Nex แต่กำลังกังวลเรื่องสัมภาระค่ะ ส่วนขากลับก็วางแผนไว้ว่าจะกลับด้วย Limousine bus เหมือนกัน เด็กอายุ 2ขวบกว่าไม่ต้องซื้อตั๋วแต่ต้องนั่งตักใช่มั๊ยคะแล้วรถเข็นเอาไว้ไหนคะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ

    • รถไฟ nex แต่ละตู้ข้างๆประตูเค้าจะมีช่องที่ไว้วางกระเป๋าใหญ่หรือรถเข็นได้ค่ะ ส่วน limousine bus เราก็เอากระเป๋าใหญ่กับรถเข็นไว้ใต้ท้องรถเหมือนรถทัวร์บ้านเราค่ะ
      2 ขวบ ไม่ต้องซื้อตั๋วค่ะ นั่งตักเอา แต่ถ้ารถว่างก็นั่งเบาะได้ค่ะ

      • ขอบคุณคุณเตยมากๆเลยค่ะ รีวิวนี้มีประโยชน์มากเลยแถมเจ้าของรีวิวก็น่ารักตอบเร็วทันใจ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here